วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

TECHNO SHOWCASE ก้าวล้ำนำการศึกษา

       15 – 16 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา พวกเรานิสิตชั้นปีที่ 4 เอกเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา ได้จัดนิทรรศการขึ้น ที่ชั้น 1 อาคารนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยในงานแบ่งออกเป็น 8 บูธ คือ
1. Do you hear me? เป็นบูธที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดรายการวิทยุเพื่อการศึกษา
2. Tech for teach เป็นบูธที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดทำสื่อการเรียนการสอน
3. Around the world เป็นบูธที่ให้ความรู้เกี่ยวกับโซเชียลมีเดียกับการศึกษา
4. Away so far เป็นบูธที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนทางไกล
5. X – ploring tech for fun เป็นบูธที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเกมการศึกษา
6. Read me please เป็นบูธที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์
7. See snap เป็นบูธที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพ
8. Now you see me เป็นบูธที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา



       ซึ่งแต่ละบูธได้นำเสนอ และให้ความรู้แก่ผู้ที่เข้ามาร่วมงานกันอย่างเต็มที่ การจัดนิทรรศการครั้งนี้เป็นหนึ่งในรายวิชา DISPLAY AND EXHIBITION TECHNIQUES ซึ่งเราได้ประจำอยู่ที่บูธ Now you see me กับเพื่อนๆอีก 4 คน การจัดนิทรรศการนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย เพราะทุกคนต้องเตรียมงานกันอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการจัดและออกแบบพื้นที่ภายในบูธว่าควรจะเป็นเช่นไร การทำโปสเตอร์ การออกแบบกิจกรรมที่จะจัดขึ้น การเตรียมรางวัลว่าในช่วงไหนควรจะมอบรางวัลแบบใด การเตรียมความรู้ให้กับผู้ที่จะเข้ามาร่วมงาน เป็นต้น ซึ่งในวันแรกที่เราได้จัดนิทรรศการนั้นก็มีบางช่วงที่ไม่เป็นไปตามแผนที่เราเตรียมไว้ ดังนั้นเราก็ต้องช่วยกันแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าทันที คือเปลี่ยนกิจกรรมที่จัดขึ้นให้มีความเหมาะสม ตกเย็นในกลุ่มก็มาช่วยกันนั่งคิดและเตรียมงานที่จะจัดในวันรุ่งขึ้น เตรียมแผนสำรองไว้เพื่อเตรียมรับกับสถานการณ์ต่างๆที่อาจไม่ตรงตามแผนที่วางไว้ เมื่อประชุมกลุ่มเสร็จก็มีการประชุมรวมทุกกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด เล่าสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและช่วยกันเสนอแนะให้เพื่อนกลุ่มอื่นๆด้วย การจัดนิทรรศการในวันที่2 ของกลุ่ม Now you see me มีความราบรื่นกว่าวันแรก อาจเพราะพวกเรามีประสบการณ์แล้วก็เป็นได้ มีผู้เข้ามาร่วมกิจกรรมมากขึ้นกว่าวันแรก เพราะพวกเราได้ปรับแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น เมื่อมีผู้เข้ามาร่วมงานน้อยในช่วงนั้นและเขาไม่อยาก Workshop เป็นพิธีกรรายการข่าวกับเรา เราก็ใช้วิธีให้เขาเล่นเกมแทน ถ่ายภาพแล้วเช็คอินเพื่อโปรโมตนิทรรศการของเรา หรือแจกกระดาษใบเล็กให้เขาไปอ่านโปสเตอร์แล้วสรุปความรู้ที่ได้รับ เป็นต้น  เมื่อการจัดนิทรรศการเสร็จสิ้นลง พวกเราทั้ง 45 คนก็ได้ประชุมสรุปผลการจัดนิทรรศการร่วมกับอาจารย์ ซึ่งผลที่ได้รับนั้นเกินคาดเพราะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 1,000 คน นอกจากนี้มีคนได้เขียน Blog เกี่ยวกับนิทรรศการที่พวกเราจัดขึ้นในครั้งนี้ด้วย เมื่ออ่านแล้วทำให้ผู้จัดงานอย่างพวกเรามีความสุข รู้สึกและสัมผัสได้ว่าสิ่งที่ช่วยกันทำนั้นมันเกิดผลดีมากเพียงใด  :D







วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตามรอยไปรษณีย์ไทย...

ตามรอยไปรษณีย์ไทยที่ " พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรสามเสนใน  "
          สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน Blog ก่อนหน้าเราได้นำเสนอในเรื่องนิทรรศการออนไลน์กันไป Blog นี้เราจะพาผู้อ่านทุกท่านไปพบกับนิทรรศการนอกสถานที่กัน ที่นั่นคือ พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรสามเสนใน
          พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรสามเสนใน ตั้งอยู่ในชั้นสองของอาคารไปรษณีย์สามเสนใน ด้านหลังที่ทำการไปรษณีย์สามเสนใน เป็นสถานที่สำคัญในการรวบรวมประวัติความเป็นมาของการไปรษณีย์ไทยและแสตมป์ยุคเริ่มแรก ตั้งแต่การก่อกำเนิดแสตมป์ดวงแรกของโลกที่ประเทศอังกฤษ และการนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย 
          ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงดวงตราไปรษณียากรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2426 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีถึงกว่า 800 ชุด  แสตมป์ถูกจัดเก็บอยู่ในตู้กระจกแบบพิเศษที่ทำเป็นคล้ายหน้าต่างหลายๆบานซ้อนกันอยู่ และเรียงลำดับตามปีพุทธศักราช ใครอยากดูปีไหนชุดไหน ก็กดไปที่หน้าต่างแล้วดึงออกมา

         ในตู้แสดงแสตมป์เหล่านี้ไม่ได้มีเพียงแสตมป์ไทยเท่านั้น แต่ยังรวบรวมแสตมป์จากทั่วโลกกว่า 200 ประเทศที่เข้าร่วมสหภาพสากลไปรษณีย์ (The Symbol of Universal Union) ประเทศที่เข้าร่วมสหภาพนี้ก็จะจัดส่งแสตมป์ชุดใหม่ๆ จากประเทศตัวเองมาแลกเปลี่ยนกันทุกปี ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีรูปแบบและสีสันของแสตมป์แตกต่างกันไป แสตมป์จากประเทศต่างๆ ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนวัฒนธรรมประเพณี และประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศโดยเล่าผ่านพื้นที่เล็กๆ เหล่านี้อีกด้วย 
          สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ หุ่นที่ใส่เสื้อผ้าของบุรุษไปรษณีย์ในยุคต่างๆ ตั้งแต่ยุคโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ยังใส่โจงกระเบน จนในยุคต่อๆ มาที่เริ่มใส่กางเกงแบบตะวันตกแล้ว หุ่นเหล่านี้ตั้งอยู่ตามมุมห้องต่างๆ 


           นอกจากส่วนจัดแสดงต่างๆ ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีห้องสมุดที่ให้ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับแสตมป์ทั้งภาษาไทยและต่างประเทศมากมาย นักสะสมแสตมป์ที่ต้องการรวบรวมความรู้ก็สามารถมาเริ่มต้นได้ที่นี่ 
           สำหรับคนที่หลงไหลแสตมป์แต่ไม่มีเวลาไปซื้อหา เจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถสมัครเป็นสมาชิกเงินฝากเพื่อสะสม และสมัครสมาชิกวารสารตราไปรษณียากรได้ จ่ายเงินเป็นรายปีไว้ เมื่อมีแสตมป์ชุดใหม่ๆ ออกมาก็จะจัดส่งไปให้ถึงบ้านหรือสามารถสั่งจองแสตมป์ชุดพิเศษได้ก่อนใครๆ อีกด้วย 
           สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ ที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ฯ มีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนที่จะเปลี่ยนเรื่องราวไปตามวันสำคัญต่างๆ และมีแสตมป์ชุดพิเศษสำหรับโอกาสนั้นๆ มาแสดงด้วย 


           ในส่วนของนิทรรศการหมุนเวียนที่จัดขึ้นในวันที่พวกเราไปในวันที่ 13 กรกฎาคม 2556 คือ นิทรรศการสามศิลป์ไม่กินกัน คือ งานศิลป์ช่างหลวง งานศิลป์พื้นบ้าน งานศิลป์ร่วมสมัย



พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากร (สามเสนใน) 

อาคารสำนักงานการสื่อสารไปรษณีย์นครหลวงเหนือ หลังที่ทำการไปรษณีย์สามเสนใน ถ.พหลโยธิน
เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
เปิดวันพุธ-อาทิตย์ หยุดวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ระหว่าง 08.30-16.30 น.
0-2271-2439, 0-2831-3722
ไม่เก็บค่าเข้าชม
บริหารจัดการโดยหน่วยงานราชการ
ก่อตั้งปี 2516 

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุณรู้จักนิทรรศการออนไลน์กันหรือไม่?

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้เราขอนำเสนอในเรื่องนิทรรศการออนไลน์ค่ะ
            นิทรรศการ คือ การจัดแสดงข้อมูล รวมไปถึงเนื้อหาต่างๆ จัดทำด้วยวัสดุ สิ่งของ และอุปกรณ์ต่างๆ และมีการผสมผสานกิจกรรมต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน นิทรรศการมาจากภาษาอังกฤษ คำว่า Exhibition ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Display แปลว่าการจัดแสดง ซึ่งในประเทศไทยได้จัดนิทรรศการอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 นิทรรศการแบ่งได้เป็นระดับเล็ก ระดับปานกลาง ไปจนถึงระดับใหญ่ ในระดับใหญ่ขนาดระดับชาติจะเรียกว่า Exposition
            หลักในการจัดนิทรรศการที่ต้องคำนึง คือ
1. วัตถุประสงค์
2. ผู้ชมหรือกลุ่มเป้าหมาย 
3. เนื้อหา
4. ขนาดของนิทรรศการ
5. ค่าใช้จ่าย
6. ระยะเวลา
            ต่อมาเรามาพูดถึงนิทรรศการออนไลน์กันดีกว่าค่ะ นิทรรศการออนไลน์นั้นมีความคล้ายกับนิทรรศการที่จัดขึ้นทั่วๆไป แต่สิ่งที่แตกต่างกันนั่นก็คือ สถานที่จัดแสดงค่ะ ซึ่งการจัดแสดงจะอยู่บนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ชมสามารถรับชมออนไลน์ผ่านทางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา
            เราจะนำเสนอนิทรรศการออนไลน์ให้ผู้อ่านได้เห็นเป็นตัวอย่างกันค่ะ ลองกดเข้าไปรับชมตามลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลย J

            นิทรรศการออนไลน์ที่เราได้เลือกนำเสนอนี้เป็นเรื่องนิทรรศการ 12 สิงหา จัดอยู่ในเว็บไซต์หอสมุดของมหาวิทยาลัยบรูพา นำเสนอเรื่องราวของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื้อเรื่องแบ่งเป็น รักแรกพบ พระราชพิธีทรงหมั้น ทรงเป็นแบบอย่างของครู การอ่านหนังสือ รางวัลเกียรติยศ คุณธรรมความเป็นครู การหาครูมาสอน และการพัฒนา
           ผู้อ่านจะเห็นได้ว่ารูปแบบการจัดนิทรรศการออนไลน์นั้นเป็นแบบใด อย่างเช่นตัวอย่างนี้มีการจัดข้อความและรูปภาพที่สวยงาม มีการเลือกใช้สีได้อย่างเหมาะสมค่ะ เมื่อทราบอย่างนี้แล้วผู้อ่านสามารถเข้าชมนิทรรศการออนไลน์ได้ตามความสนใจ ไม่ต้องเดินทางไปสถานที่จริงแต่สามารถได้รับความรู้อย่างครบถ้วนค่ะ J






วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

MY MAGAZINE.

@CURVE

         ชั่วโมงแรกๆที่เรียนกับอาจารย์ในเทอมนี้ อาจารย์ได้ให้พวกเราจับสลาก เพื่อแบ่งกลุ่มทำงาน ความรู้สึกของดิฉันและเพื่อนๆ ทุกคนแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตื่นเต้น ลุ้น กังวล ฯลฯ ว่าตัวเองนั้นจะได้อยู่กลุ่มกับใคร ซึ่งดิฉันเข้าใจจุดประสงค์ของอาจารย์ อาจารย์อยากให้เราได้ทำงานกับเพื่อนๆ ตามที่เราจับสลากได้ ได้ทำงานกับเพื่อนคนอื่นๆที่เราอาจไม่เคยทำงานร่วมกับเขามาก่อน ซึ่งในตอนแรกใครๆก็ยังมีความคิดแบบเดิมๆว่าอยากทำงานกับเพื่อนที่ตนเองสนิท แต่เมื่ออาจารย์ได้กำหนดระบบการเรียนในเทอมนี้ว่าต้องเป็นแบบนี้นะ ทุกคนก็ค่อยๆยอมรับในกฎกติกานี้  กลุ่มที่ดิฉันจับได้คือ เบอร์9 สมาชิกทั้งหมดมี 5 คน ประกอบด้วย ส้ม บิว ขวัญ เฟริน บูม J

 งานชิ้นใหญ่ ชิ้นสุดท้าย คือการทำนิตยสาร นิตยสาร 1 เล่ม ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย พวกเราได้ประชุมงานกันเป็นระยะๆ มีการโหวต Theme ของหนังสือกัน แต่เมื่อทุกอย่างลงตัว สรุป Theme ได้ว่า กลุ่มเราจะทำนิตยสารเกี่ยวกับวัยรุ่นที่ นอกกรอบแต่ไม่นอกคอก จากนั้นได้ช่วยกันคิดว่าจะมีเนื้อหาอะไรบ้าง เมื่อตกลงและแบ่งงานกันเรียบร้อยแต่ละคนก็ไปเขียนคอลัมน์ที่ตนเองรับผิดชอบมา เมื่อเนื้อหาครบก็เริ่มวาง Layout ซึ่งดิฉันได้รับผิดชอบ คอลัมน์กิน เที่ยว และสุขภาพ ค่ะ ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการรวมเล่ม ช่วยกันตรวจดูความเรียบร้อยของงาน

        การทำนิตยสารครั้งนี้ได้สอนอะไรดิฉันหลายๆอย่าง ที่สำคัญเลยคือ ความรอบคอบ ” ถ้าขาดข้อนี้ไปงานที่ออกมาจะไม่สมบูรณ์ 100% ซึ่งนิตยสารเล่มนี้เมื่อพิมพ์ออกมาแล้วก็ยังมีข้อผิดพลาดในเรื่องของคำถูกคำผิด ซึ่งดิฉันเองได้รับหน้าที่พิสูจน์อักษรร่วมกันกับเพื่อน แต่คอลัมน์ตนเองก็ยังมีคำผิด อ่านแล้วรู้สึกว่าพลาดมาก แต่ ณ จุดนี้มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว เราต้องยอมรับกับความผิดพลาดครั้งนี้ และจะจำไว้เป็นบทเรียนเพื่อนำไปแก้ไขในการทำงานครั้งต่อๆไป เพื่อให้งานมีความสมบูรณ์มากที่สุด


       เมื่อวานดิฉันได้โพสลงกรุ๊ปในเฟสบุ๊คบอกเพื่อนในความผิดพลาด เพื่อนจะโกรธส้มไหม ส้มเช็คคำผิดยังไม่รอบคอบ 100% เลย อ่านไปยังเจอคำผิด แม้แต่คอลัมน์ของส้มเองก็ยังมีผิดอีก   ไม่นานนักบูมได้มาโพสตอบว่าไม่โกรธจ้า สมาชิกที่เหลือในกลุ่มกดไลค์บูม มันทำให้ดิฉันรู้สึกสบายใจที่เพื่อนๆในกลุ่มไม่ซีเรียสกับความผิดพลาดตรงนี้ และยังให้กำลังใจกัน J


       สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์นัทธีรัตน์ พีระพันธุ์ ที่ให้คำปรึกษาในการทำนิตยสารครั้งนี้ด้วยค่ะ






วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

The Rhythm of Refreshment. O:)


         สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผู้เขียนมีเรื่องราวที่น่าสนใจมาแบ่งปันกันอีกแล้วค่ะ เนื้อเรื่องนั้นยังคงอยู่ในเรื่องของ สื่อสิ่งพิมพ์ ค่ะ แต่วันนี้ผู้เขียนจะนำเสนอ สื่อสิ่งพิมพ์ ที่ได้รับรางวัลให้ผู้อ่านได้รู้จักกันค่ะ 





         สื่อสิ่งพิมพ์ ที่เรานำมาเสนอในวันนี้นะคะเป็น สื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทโปสเตอร์นั่นเองค่ะ โปสเตอร์ที่ว่านี้ เป็นของ ททท. เป็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของ ททท. ได้รับรางวัลจากการประกวด PATA Gold Awards 2008 ของสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ( Pacific Asia Travel Association : PATA ) ซึ่งได้เชิญหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องจำนวน 24 หน่วยงาน รวมถึง ททท. ร่วมส่งผลงานการออกแบบเพื่อส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยว เข้าร่วมประกวดถึง 6 รายการ จากสื่อประเภทโบรชัวร์ โปสเตอร์ และ ซีดีรอม ผลปรากฏว่าโปสเตอร์ของ ททท. ได้รับรางวัล Gold Award ประเภท Marketing Media Awards : Travel Poster Category Thailand : The Rhythm of Refreshment, “ Mae Taman Elephant Camp, Chiang Mai ” เป็นภาพกิจกรรมจากปางช้างแม่ตะมาน ในบรรยากาศล่องแพของกลุ่มนักท่องเที่ยว



http://www.logothailand.com/shop/l/logothailand/img-lib/spd_20080421141015_b.jpg


         ในปีนี้มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด 258 ราย จากหน่วยงานและองค์กรด้านการท่องเที่ยวจำนวน 108  หน่วยงาน  แบ่งประเภทรางวัลเป็น 6 ประเภทหลัก  จำแนกเป็นรางวัล Gold Award จำนวน 25 รางวัล และรางวัล Grand Award จำนวน 4 รางวัล  โดยประกาศผลรางวัลไปเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 และจะมีพิธีมอบรางวัลในวันที่ 19 กันยายน 2551 ช่วงการจัดงาน PATA TRAVEL MART 2008 ระหว่างวันที่ 16-19 กันยายน 2551 ที่เมืองไฮเดอราบัด สาธารณรัฐอินเดีย  


http://www.itehk.com/ITEHK/images/supportingOrg/9_MGTO-2.jpg


         ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานการท่องเที่ยวของมาเก๊า ( Macau Government Tourist Office : MGTO ที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลาถึง 13 ปี  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมผลงานดีเด่นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย

         เมื่อผู้อ่านได้ทราบข้อมูลกันไปแล้ว ต่อไปเราจะมาทำการวิเคราะห์หลักการออกแบบของโปสเตอร์นี้กันค่ะ ผู้เขียนจะแบ่งหัวข้อการวิเคราะห์ออกเป็น 4  ด้านด้วยกันคือ ภาพ  สี ตัวอักษร และการจัดวางภาพ

         ในด้านภาพนะคะ จากหัวข้อการประกวดการออกแบบโปสเตอร์เพื่อส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยว ททท.ใช้ภาพถ่ายในการสื่อความหมาย ซึ่งเป็นภาพกิจกรรมจากปางช้างแม่ตะมาน ในบรรยากาศล่องแพของกลุ่มนักท่องเที่ยว เมื่อเห็นภาพแล้วสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่อยู่ในภาพเมื่อโดนช้างพ่นน้ำใส่ สัมผัสได้ถึงความเปียกของละอองน้ำที่พ่นออกมาจากปากช้าง ภาพสื่ออารมณ์ได้ชัดเจนให้ความรู้สึกเหมือนตัวเราเองอยู่ในภาพๆนั้น

         ในด้านสีนะคะภาพที่ใช้เป็นภาพถ่าย สีสันที่ปรากฎเป็นสีของธรรมชาติ ที่มองแล้วสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ ความสดชื่นของน้ำ กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ สัมผัสถึงอากาศที่เย็นสบาย สัมผัสได้ถึงความสนุกสนานในการล่องแพ

         ในด้านตัวอักษรนะคะแบ่งเป็นเรื่องของ ขนาด สี และรูปแบบของตัวอักษรค่ะ โปสเตอร์นี้ใช้ตัวอักษรที่น้อยมากแต่คำที่ยกมาใช้นั้น สื่อความหมายของภาพได้เป็นอย่างดี อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ต้องตีความ มีการใช้ตัวอักษรที่มีขนาดแตกต่างกัน คือ ใหญ่ และเล็ก โดยตัวอักษรใหญ่นั้นคือหัวข้อหลัก ใช้ในคำที่เขียนว่า “ Thailand ” ซึ่งเป็นคำที่ผู้ออกแบบตั้งใจจะนำเสนอในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในประเทศไทย ส่วนตัวอักษรเล็กใช้ในคำโปรย สีของตัวอักษรนะคะ คำว่า “ Thailand ” ใช้สีเขียวเข้ม มองแล้วสบายตาดี บ่งบอกถึงความเป็นธรรมชาติ ส่วนคำโปรยใช้สีขาว เพื่อให้ตัดกับภาพทำให้มองเห็นตัวอักษรได้ชัดเจน และรูปแบบของตัวอักษรนะคะ เลือกใช้ได้เหมาะสม เพราะ คำว่า “ Thailand ” มีการออกแบบตัวอักษรขึ้นมาโดยเฉพาะให้เข้ากับภาพที่นำเสนอ และจัดอยู่ในตำแหน่งกลางหน้ากระดาษ คำโปรยก็เช่นกันค่ะ แต่อยู่ต่อจากหัวข้อหลัก รูปแบบตัวอักษรเลือกใช้ได้มีความเหมาะสมเพราะเป็นรูปแบบตัวอักษรมาตรฐานค่ะ



https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFnFIJvWd12RCKAm-IA3SY5FxLu14N5-E_Dmh2BOwtfuS2klEMgd4085S9TkmtZhDX0jzNSHXkCUAtAJ102M5NIsXKLCD-39CCwFSDlV2AVrSh3Tjcx3sC4GFkjUKXbiXb6fT7kpJUBqcU/s1600/%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25949.jpg


         ในด้านสุดท้าย คือ การจัดวางภาพมีความเหมาะสม เพราะใช้เทคนิคจุดตัด 9 ช่อง ในการถ่ายภาพนี้ เนื่องจากช้างเป็นสิ่งดำเนินเรื่องของโปสเตอร์นี้ นับได้ว่าช้างเป็นจุดเด่นของภาพ ถูกจัดอยู่ในตำแหน่งขวาล่างค่ะ


        สุดท้ายนี้นะคะผู้เขียนคิดว่าหลักการออกแบบเป็นสิ่งสำคัญต่อการทำโปสเตอร์ค่ะ ยิ่งเมื่อส่งโปสเตอร์เข้าประกวดด้วยแล้ว เราจะชนะคู่ต่อสู้ได้ ก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบที่สวยงามมีความเหมาะสมที่สุดค่ะ :)





วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

" Brochure "


        สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน กลับมาพบกับเราอีกครั้งนะคะ เมื่อได้อ่านบล็อกก่อนหน้าที่ผู้เขียนได้นำเสนอในเรื่องของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ชื่นชอบไป ได้รับความรู้กันไปพอสมควรเลยใช่ไหมคะ
        วันนี้ผู้เขียนมีบทความดีๆมานำเสนอค่ะ เนื้อเรื่องนะคะยังคงเกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์ค่ะ ถามว่าทำไมต้องเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ ผู้อ่านทราบไหมคะว่า สื่อสิ่งพิมพ์นั้นมี " อิทธิพล " ต่อตัวเรามากเลยหละค่ะ ซึ่งบางครั้งสื่อสิ่งพิมพ์ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงในด้านเจตคติ ทัศนคติ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยก็ว่าได้ วันนี้ผู้เขียนได้ไปค้นหามาให้ผู้อ่านได้ทราบกันว่าอิทธิพลของสื่อสิ่งพิมพ์นั้น มีความหมายว่าอย่างไร " อิทธิพล " ของสื่อสิ่งพิมพ์นะคะ หมายถึง ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้กระทำการ กับผู้ถูกกระทำการ ในลักษณะที่ผู้กระทำทำการลงไปโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ อันมีผลให้ผู้ถูกกระทำการมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือทัศนคติเป็นไปตามความมุ่งหมาย หรือสอดคล้องกับผู้กระทำการ เมื่อผู้อ่านได้ทราบความหมายกันไปแล้ว คิดเหมือนกันกับผู้เขียนไหมคะ ว่าส่วนมากเราจะได้รับอิทธิพลจากผู้กระทำการโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยหละค่ะ 
*** อิทธิพลของสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีผลต่อบุคคลและสังคมมีหลายวัตถุประสงค์ค่ะ เช่น
1. เพื่อให้ความรู้
2. ทำหน้าที่เป็นสื่อบันทึกภาพสังคม ค่านิยม วัฒนธรรม ความเชื่อถือ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ 
3. ช่วยในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข่าวสารทั้งในภาคธุรกิจเอกชนและภาครัฐบาล 
4. เป็นสื่อในการช่วยเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงสังคมไปในวิถีทางที่ถูกต้องยุติธรรม

        อย่างไรก็ตาม " อิทธิพล " ของสื่อสิ่งพิมพ์จะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพสังคมในช่วงเวลานั้นๆ เพราะสังคมและสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นสิ่งที่ต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ


        สื่อสิ่งพิมพ์ที่จะนำมาเสนอในวันนี้ คือ โบรชัวร์ Brochure ผู้อ่านทราบไหมคะว่า โบรชัวร์ นั้นมีหน้าที่ให้ความรู้ ช่วยในการประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข่าวสารค่ะ และผู้เขียนเชื่อว่า โบรชัวร์ มีอิทธิพลต่อผู้ที่พบเห็นแน่นอนค่ะ สังเกตจากเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ คือ วันช็อปหยุดโลกที่ห้างสรรพสินค้า บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ได้จัดขึ้นค่ะ 

        ก่อนวันช็อปหยุดโลกจะมาถึง ผู้เขียนมีโอกาสเดินผ่านห้างบิ๊กซีค่ะ ซึ่งบริเวณหน้าห้าง มีการแจก โบรชัวร์ วันช็อปหยุดโลก ให้แก่ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา และผู้เขียนเองก็ได้รับแจก โบรชัวร์ ด้วยเช่นกันค่ะ การโฆษณาในลักษณะนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีมากเลยทีเดียว เพราะเจาะลึกถึงกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย และเชื่อได้เลยว่าผลการตอบรับจะมีสูงถึง 100% เลยหละค่ะ 

        เมื่อวันช็อปหยุดโลกมาถึง นับได้ว่าเป็นวันที่คึกคักมากเลย เพราะห้างบิ๊กซีเกือบทุกสาขา เปิดให้บริการตั้งแต่ 6.00 น. จนถึง 24.00 น. มีผู้คนจำนวนมากรีบไปห้างตั้งแต่เวลา 6.00 น. เพื่อห้างเปิดเขาจะได้เข้าไปเป็นคนแรกๆเลย เนื่องมาจากอิทธิพลของ สื่อสิ่งพิมพ์ประเภท โบรชัวร์ นั่นเองค่ะ เพราะเมื่อได้อ่าน โบรชัวร์ ที่ได้รับแจกมา เราก็จะได้พบกับสินค้ามากมายหลายประเภทที่จัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม ลดราคาแบบที่ใครๆเห็นแล้วต้องสนใจอยากได้ และเหตุผลง่ายๆเลยที่ผู้คนแห่กันมารอห้างเปิดนั้น เพราะสินค้าบางชนิดมีจำนวนจำกัดค่ะ ใครมาก่อนก็ได้ก่อน ใครมาทีหลังก็อดไป... 

        ในวันช็อปหยุดโลกผู้เขียนได้ฟังคนใกล้ตัวเล่าประสบการณ์ตรงที่เขาเจอกับตัวเอง คือ แม่ของเขารีบไปห้างตั้งแต่เช้าเพื่อไปซื้อของที่ตนเองสนใจจากการอ่าน โบรชัวร์ เมื่อไปถึงก็ได้พบว่ามีผู้คนมากมายยืนออกันอยู่ที่ประตูห้างรอเวลาห้างเปิด ส่วนอีกรายคือ เพื่อนของเขาไปห้างเพื่อช่วยแม่หิ้วของ แต่พอไปถึงที่ห้างเขาก็ได้รับแจก โบรชัวร์ เมื่อได้เห็นราคาเต๊นท์ลดราคาครึ่งต่อครึ่ง ทำให้เขาเกิดความอยากได้ขึ้นมาจึงตัดสินใจซื้อเต๊นท์ไปจำนวน 2 หลัง  ส่วนประสบการณ์ตรงของคนใกล้ตัวของผู้เขียน คือ เขาไปห้างเวลา 13.00 น. เมื่อไปถึงพบว่าตระกร้าใส่สินค้ามีไม่พอกับจำนวนของลูกค้า ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายต่อพนักงานที่ห้างนั้นเป็นอย่างมาก ในระหว่างที่เขากำลังจ่ายเงินที่แคชเชียร์ มีคุณลุงคนหนึ่งมาถามเขาว่า " หนูซื้อหมอนข้างใบนี้ที่ไหน " เขาก็ตอบไปว่า " เดินเลยช่องขายขนมปังไปครับ " ไม่นานลุงคนนั้นได้เดินมาบอกเขาว่า " ลุงไปถึงของหมดแล้วหนู ไม่คิดว่ามันจะหมดไว้เท่านี้เลย " และอีกสถานการณ์คือ เขาได้กลับไปห้างอีกครั้งในเวลา 20.30 น. เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังซื้อของไม่ครบ และเขาก็ได้พบว่าสินค้าแทบจะไม่มีอะไรเหลือเลย เหตุการณ์เช่นนี้มาจากอิทธิพลของ โบรชัวร์ ที่ดึงดูดลูกค้าทุกเพศทุกวัยให้หันมาสนใจสินค้าที่จัดรายการ ดังนั้นผู้เขียนจึงสรุปได้ว่า โบรชัวร์ เป็นสื่อที่มีบทบาทและมีอิทธิพลต่อคนในสังคมเป็นอย่างมากค่ะ เพราะทั้งผู้ขายและผู้ซื้อต่างได้รับผลประโยชน์ตามที่ตนเองต้องการจาก โบรชัวร์  ค่ะ :)
















       

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Happy meal O:)


        สวัสดีผู้อ่านทุกคนค่ะ เป็นยังไงกันบ้างคะ สบายดีกันรึเปล่า วันนี้เราจะมาพูดคุยกันในเรื่อง สื่อสิ่งพิมพ์  ค่ะ ก่อนอื่นเราจะมาแนะนำความหมายของ สื่อสิ่งพิมพ์ ให้ผู้อ่านได้ทราบกันก่อนค่ะ สื่อสิ่งพิมพ์ คือ สื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภทที่ผ่านกระบวนการพิมพ์ การสร้างภาพพิมพ์ ปรากฏเนื้อหาที่สามารถใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารได้ ไม่ว่าวัสดุที่ใช้พิมพ์จะเป็นอะไรก็ตามค่ะ หรือจะสรุปสั้นๆว่า สื่อที่เป็นสื่อกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อการสื่อสาร ใช้การพิมพ์เป็นหลักและมีการทำสำเนาค่ะ

        ผู้อ่านลองสังเกตไปรอบๆตัวเราสิคะ จะพบว่ามี " สื่อสิ่งพิมพ์ " ปรากฏอยู่มากมายและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของเราทั้งสิ้นค่ะ เช่น ฉลากยา  โบชัวร์ แผ่นพับ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เป็นต้น และยังรวมถึงข้อความที่ตีพิมพ์อยู่บนบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เช่น บนขวดครีมอาบน้ำ  ขวดแชมพู ครีมนวด กล่องยาสีฟัน ซองผงซักฟอก ถุงพลาสติกของห้างต่างๆ ซองและขวดผลิตภัณฑ์ประกอบอาหาร ซองขนมขบเคี้ยวต่างๆ  เป็นต้นค่ะ 



       


        “ สื่อสิ่งพิมพ์ แต่ละประเภทจะถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น ซองขนมขบเคี้ยวต่างๆ จะแสดงถึงสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในซอง เมื่อเราดูแค่ซองเราก็จะเข้าใจได้ในทันทีว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในซองนั้นคืออะไร ในเรื่องของ สี แบบตัวอักษร สีของตัวอักษร รูปภาพ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบเลยค่ะ เพราะถ้าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีองค์ประกอบที่ครบถ้วน จะช่วยให้เป็นที่สนใจ ดึงดูดลูกค้า และทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นที่จดจำได้ของผู้ที่พบเห็นค่ะ

        “ สื่อสิ่งพิมพ์ ที่ผู้เขียนชื่นชอบนะคะ คือ Packaging หรือบรรจุภัณฑ์ ชุด Happy meal ของร้าน McDonald’s ค่ะ ผู้อ่านจำได้เหมือนกันไหมคะว่า ชุด Happy meal แต่ก่อนนั้น ไม่ได้เป็นในลักษณะนี้ แต่ก็เพราะยุคสมัยไงหละคะ ที่เป็นตัวกำหนด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้สิ่งนั้นๆ เกิดความสวยงาม และทันสมัยขึ้นค่ะ 









        เหตุผลที่ผู้เขียนชอบ Packaging หรือบรรจุภัณฑ์ของ ชุด Happy meal เหตุผลส่วนตัวนะคะ เพราะชอบกิน McDonald’s มาตั้งแต่เด็กๆละค่ะ ชอบสะสมของเล่นที่มากับชุด  Happy meal ค่ะ แต่พอโตขึ้น ที่บ้านไม่มีที่เก็บของเล่นเหล่านี้แล้ว แม่จึงนำของเล่นไปบริจาคคนอื่น จำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้เลยค่ะ แต่ก็ได้แอบเลือกเก็บเฉพาะตัวที่ชอบมากๆไว้ได้ค่ะ
         J เหตุผลที่ชอบ คือ 1.ในด้านการออกแบบ มีการออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งทำมาจากกระดาษแข็ง ไม่เป็นอันตรายและไม่ทำให้โลกร้อนค่ะ 2.ในเรื่องของสี เลือกใช้สีที่เป็นแม่สี สีแดงเป็นสีที่เป็นสัญลักษณ์ของร้าน McDonald’s ผู้เขียนได้เคยอ่านเจอนะคะว่า กลุ่มสีโทนร้อน เป็นกลุ่มสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกมีพลัง เร่าร้อน กระตือรือร้นและกระฉับกระเฉง ในทางจิตวิทยาความแรงของสีโทนร้อน จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร ทำให้เกิดความรู้สึกหิว และกระตุ้นให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ สีเขียวเป็นสีที่อยู่ตรงข้ามกับสีแดง ทำให้เห็นถึงการใช้สีตรงข้าม สีเหลืองถูกออกแบบให้เป็นหูหิ้ว 3.ในเรื่องของตัวอักษร รูปแบบตัวอักษรที่เลือกใช้ใน สื่อสิ่งพิมพ์นี้ มีขนาดที่พอดีกับขนาดของบรรจุภัณฑ์  การออกแบบตัวอักษร อ่านง่ายดี 4.ในเรื่องของสีตัวอักษร เลือกใช้สีได้มีความลงตัวและมีความเหมาะสม ใช้สีเพียงแค่ 3 สี คือ ขาว เหลือง เขียว แต่สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กๆได้เป็นอย่างดี เนื้อหาที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์ด้านข้างจะเป็นเกม ฝึกทักษะ คือ เกมเขาวงกต อีกด้านจะเป็นเกมหาคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ ชุด Happy meal และด้านสุดท้ายจะเป็นการให้ความรู้ว่าในชุด Happy meal อาหารที่รับประทานไปนั้นมีคุณประโยชน์อะไรมั่งค่ะ เมื่อผู้อ่านได้ทราบข้อมูลที่อธิบายไปแล้ว เมื่อซื้อชุด Happy meal มาให้ลูกหลานอย่าลืมที่จะลองอ่านที่บรรจุภัณฑ์ เพื่อเสริมสร้างทักษะให้กับลูกหลานกันนะคะ